การฟังธรรมต้องทำใจให้ว่าง ทำใจให้เป็นกลาง อย่าเป็นอคติ ตั้งท่าให้เป็น ฟังธรรมถ้าตั้งอคติไว้นี่บาป หมายถึง จะเป็นโทษเหมือนไปนั่งจับผิด เนี่ยเห็นไหมเอาอีกแล้วว่าเราอีกแล้ว แทงใจดำเลย ค่อนขอดเราอีกแล้ว แน่ะเสียดสีเราอีกแล้ว โอ้โฮ...เจอหมดเลย ก็เพราะกิเลสมันมีทั้งนั้น ไปนั่งฟังไปด้วยอคติ เขาเรียกว่าฟังไม่เป็น ต้องตั้งจิต หรือว่าเตรียมใจที่จะรองรับพระธรรมความจริงทั้งหลายโดยไม่มีอคติ ไม่ตั้งธงเอาไว้ว่าถูกใจไม่ถูกใจ อยากจะฟังอันไหนคือความจริง อันไหนเป็นอธรรม (ไม่ใช่ความจริง) เมื่อสงสัยแล้วมีอรรถธิบายให้เหตุผล เห็นด้วย หรือยังไม่เห็นด้วยก็ได้แต่ไม่ใช่เกลียด การไม่เห็นด้วยไม่ถือว่าเกลียดหรือว่าไม่ชอบ
...
การไม่ชอบคืออคติ เกลียดธรรมะเกลียดความจริงเหล่านี้ ฉันถึงไม่อยากฟังเทศน์เหมือนไปให้พระด่า ถ้าใครยังเข้าใจอย่างนั้นแสดงว่ายังฟังธรรมไม่เป็น แล้วต้องเชื่อพระทั้งหมดใช่ไหม...ไม่ใช่อีก มีส่วนที่ยังไม่เชื่อก็แยกไว้ว่าส่วนนี้ยังไม่เชื่อ ยังไม่สนิทใจ ยังไม่เข้าใจ อาจจะมีความเห็นต่างอยู่ในเหตุในผล อย่างนี้ไม่ผิด เรียกว่าฟังด้วยปัญญา สิ่งที่ค้างคาอยู่เมื่อได้โอกาสจะสอบถามจากผู้รู้ต่อไป อย่างนั้นไม่ใช่ว่าเกลียด การที่ไม่เชื่อไม่ใช่ว่าเกลียด หรือว่าไม่เห็นด้วย ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
...
อย่างที่พระพุทธเจ้าบอก มีคนไปถามท่านคนเราทุกข์เพราะอะไร ท่านตอบคนเราทุกข์เพราะความรัก พราหมณ์ผู้หนึ่งฟังแล้วไม่เห็นด้วยกับคำตอบ เหตุเพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านเข้าใจในคำถามผิด ตอบผิด แม้พราหมณ์ผู้นั้นถามซ้ำท่านก็ตอบเหมือนเดิม คนเรามีความทุกข์เพราะมีความรัก
...
พราหมณ์ผู้นั้นบอกไม่ต้องถามแล้ว แค่นี้ก็แจ่มแจ้งแล้วว่าไม่ตรงกันกับที่เขาเข้าใจ เขาว่าคนเรามีความทุกข์เพราะความเกลียดชัง เพราะความไม่สมปรารถนา ไม่สมตามความต้องการ คนมีความสุขเพราะความรัก ความรักทำให้คนเกิดความสุข ความเกลียดทำให้เกิดความทุกข์ ได้ยินจากใครๆ ก็อย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมลัทธิใหม่ จึงมีความเห็นไม่เหมือนใคร ถึงว่าเจ้าลัทธิยังหนุ่มอยู่ยังเด็กอยู่ อายุเพิ่งจะสามสิบห้าสามสิบหก เขาไม่เชื่อว่ามีปัญญาเพราะเห็นว่ายังเด็ก ประกอบเข้าไปอีกด้วย แถมถามว่าตรัสรู้มาจากไหน ก็บอกว่าตรัสรู้เอง ยิ่งไม่มีคนบอกมาอีก ไม่ได้ร่ำเรียน ไม่มีใครสั่งสอนมาอีก ยิ่งไปกันใหญ่
...
เมื่อได้ฟังคำตอบ เขาไม่ถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงว่าอย่างนั้น เดินหนีไปเลย แล้วพราหมณ์ผู้นั้นก็ไปคุยกับผู้ที่นับถือพุทธศาสนา นับถือพระพุทธเจ้า แล้วเล่าว่า เธอเราไปคุยกับศาสดาของเธอมา เราถามว่าคนทุกข์เพราะอะไร แล้วศาสนาตอบว่าอะไร บอกคนทุกข์เพราะความรัก ท่านฟังคำถามไม่ถนัดมั้งเราถามถึงสองเที่ยว ท่านก็ตอบคำเดิม ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ พระศาสดาไม่น่าจะตอบอย่างนั้น จริงหรือ จริง อย่างนั้นลองไปถามด้วยกันใหม่ดูสิว่าท่านจะตอบอย่างไร
...
พระศาสดา พราหมณ์ผู้นี้ได้ไปเล่าให้ข้าพระองค์ฟังว่าอย่างนี้ จริงหรือไม่ขอรับ จริง ข้าพระองค์ไม่แจ่มแจ้งในคำตอบ เพราะปกติคนเราจะมีความทุกข์เพราะความเกลียดชัง จะมีความสุขเพราะความรัก มีความรักเกิดขึ้นในจิตในใจก็จะมีความสุข ที่พระองค์กล่าวว่าคนทุกข์เพราะความรัก ข้าพระองค์ยังไม่แจ่มแจ้งขอรับ
...
ท่านก็อธิบาย เห็นไหมแม้ฟังจากพระโอษฐ์ของพระศาสดาเอง แต่ก็ยังไม่แจ่มแจ้ง การที่เขาไม่แจ่มเจ้งอย่าถือว่าเขาเป็นคนเลว เป็นคนโง่ เชื่อ นับถือในพระพุทธเจ้านี่แหละ แต่ยังไม่เข้าใจในอรรถาธิบายของท่าน ต้องแยกแยะให้ละเอียด ต้องขอฟังเหตุผลของท่านก่อน ถ้าของเรานั้นไม่ตรงกันแล้ว ตามที่เราเข้าใจโดยสามัญทั่วๆ ไป จากที่ไหนๆ ก็จะบอกว่าคนสุขเพราะมีความรัก แม้ไม่ได้เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นแฟน ลูกเมื่อรู้ว่าพ่อแม่รักก็เป็นสุข รู้ว่าพ่อแม่เกลียดก็เป็นทุกข์ สามีภรรยายิ่งไปใหญ่มีความเห็นใดๆ ไม่ตรงกัน โกรธกันงอนกันก็ทุกข์ใจแล้ว
...
พระองค์ก็เลยอธิบายให้ฟัง ก็เพราะความรักมันไม่เที่ยงคนก็จะทุกข์ ของที่เคยรักมาพลัดพราก ของที่เคยสมปรารถนามาเปลี่ยนไป คนเคยรักแล้วมาพลัดพรากมาห่างเหินกันไป หรือตายจากกันไปหรือหันหลังให้กันไป ย่อมจะมีความทุกข์ความตรอมตรม ความโศกเศร้า ความแห้งผากย่อมเกิดขึ้นในจิต ถ้าเขาไม่รักกันเขาก็คงไม่ทุกข์ จะจากจะพลัดพรากอย่างไร จะไปรักใครๆ ที่ไหนอย่างไรอะไรอีก เขาก็คงไม่กระทบกระเทือนในจิตในใจ เพราะเขาไม่เคยรักคนๆ นั้นเลย ไม่เคยเป็นคนรักกันเขาก็เลยไม่ทุกข์
...
แต่ถ้าคนๆ นั้นเคยรักกันมาแล้วอยู่ๆ มาพลัดพรากจากหนีไป หนีไปสดๆ ยิ่งทุกข์มากกกว่าตายหนีเสียอีก นั่นแหละถ้าเขาไม่รักกันก็คงไม่ทุกข์ไม่ตรอมตรมไม่แห้งผาก เราจึงกล่าวว่า ความรักทำให้ทุกข์ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องมีการพลัดพรากจากกัน เมื่อมันพลัดพรากคนก็ต้องทุกข์ ในที่สุดเราต้องพลัดพรากจากโลกนี้ไป พอเรารู้ว่าเราจะต้องตายเราก็เลยเป็นทุกข์ อย่าว่าแต่คนกับคน การพลัดพรากจากทรัพย์สมบัติ จากมนุษย์สมบัติก็เป็นทุกข์ จากวัตถุสิ่งของ สร้อยคอหายไป แหวนเพชรหายไป เจ้าของก็เป็นทุกข์แล้ว เพราะของรักของหวงมันอันตรธาน คนก็เลยทุกข์เพราะความรัก แจ่มแจ้งแล้วขอรับ พราหมณ์ผู้นั้นก็พลอยแจ่มแจ้งไปด้วย
...
การฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอย่าด่วนตัดสินด้วยปัญญาของเราเอง ในข้อที่ขัดกันพยายามหาเหตุผลที่ท่านอรรถาธิบายไว้ให้พบให้เจอเถอะ เราจะค้านไม่ออก พอเรารู้ตัวอย่างหนึ่งข้อจากที่พระองค์อธิบายอย่างนี้ ยังมีหลายข้อเลยที่ยังไม่ลงตัว ยังไม่เห็นด้วยกับพระองค์ เอามาขบเอามาคิดใหม่ ลงตัวหมดเลยตอนนี้ โล่งเลย แจ่มแจ้ง พอมันโล่งนี่ มันโล่งจริงๆ นะ มันสบาย
...
ปัญญาทำให้สบายใจ ทำให้โล่งโปร่งใจ ทำให้หายทุกข์หายเครียดอะไรมันก็ไม่รู้ล่ะ มีอานุภาพอย่างไงก็ไม่รู้ กับการที่เราได้รู้ความจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา มันทำให้จิตอิ่มเอิบปีติ จึงว่าคนพ้นทุกข์ด้วยปัญญา ประโยคนี้ก็เกิดจากอย่างนี้
บรรยายธรรมเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๒